ใคร ๆ ก็ต้องเคยเจอสถานการณ์ที่ถูกเรียกให้พูดฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัวใช่ไหมคะ? ใจเต้นตึกตัก มือเย็นเฉียบไปหมด แค่คิดก็เหงื่อตกแล้ว ยิ่งต้องพูดในที่สาธารณะนี่สิคะ เป็นเรื่องที่ทำเอาหลายคนประหม่าจนพูดไม่ออก แต่จากประสบการณ์ที่ฉันเคยเจอมา พอเราใส่ “อารมณ์ขัน” ลงไปนิดหน่อย บรรยากาศมันกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยนะ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่ยังทำให้ผู้ฟังคล้อยตามและจดจำสิ่งที่เราพูดได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ จะมาเผยเคล็ดลับให้คุณได้รู้แน่นอนค่ะ!
ใคร ๆ ก็ต้องเคยเจอสถานการณ์ที่ถูกเรียกให้พูดฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัวใช่ไหมคะ? ใจเต้นตึกตัก มือเย็นเฉียบไปหมด แค่คิดก็เหงื่อตกแล้ว ยิ่งต้องพูดในที่สาธารณะนี่สิคะ เป็นเรื่องที่ทำเอาหลายคนประหม่าจนพูดไม่ออก แต่จากประสบการณ์ที่ฉันเคยเจอมา พอเราใส่ “อารมณ์ขัน” ลงไปนิดหน่อย บรรยากาศมันกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยนะ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่ยังทำให้ผู้ฟังคล้อยตามและจดจำสิ่งที่เราพูดได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ จะมาเผยเคล็ดลับให้คุณได้รู้แน่นอนค่ะ!
ปลดล็อกความประหม่าด้วยอารมณ์ขันในตัวคุณ
เวลาต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ สิ่งแรกที่เข้ามาคือความตื่นเต้น ประหม่าจนสมองตื้อไปหมดเลยใช่ไหมคะ? ฉันเองก็เคยผ่านจุดนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ฉันค้นพบคือ อารมณ์ขันเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยเปิดล็อกความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พอเราเริ่มพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองยิ้มได้เล็กน้อย หรือแม้แต่คำพูดที่ทำให้ผู้ฟังอมยิ้มตาม บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปทันทีเลยค่ะ จากความตึงเครียดกลายเป็นความผ่อนคลาย การที่เรากล้าที่จะเล่นกับคำพูด หรือเล่าเรื่องตลกเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเรา มันจะช่วยลดกำแพงระหว่างเรากับผู้ฟังลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็พร้อมที่จะสร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง การที่คนหัวเราะกับสิ่งที่เราพูด ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะธรรมดา แต่มันคือเสียงของความเข้าใจและเชื่อมโยงกันทางอารมณ์ ทำให้เรามั่นใจขึ้นและพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
1. เริ่มต้นด้วยเรื่องส่วนตัวที่เข้าใจง่าย
ลองนึกถึงเรื่องขำๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเราแบบสดๆ ร้อนๆ สิคะ บางทีอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น “เมื่อเช้าลืมกุญแจรถจนเกือบมาสาย” หรือ “เพิ่งรู้ว่าใส่รองเท้าคนละข้างมาทำงาน” อะไรแบบนี้แหละค่ะ การเล่าเรื่องแบบนี้จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย และที่สำคัญคือทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์แบบนี้ได้ เพราะมันคือเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของคนเรา
2. ใช้ภาษากายช่วยเสริม
นอกจากการพูดแล้ว ภาษากายก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ ลองใช้สีหน้า ท่าทางประกอบการเล่าเรื่องตลกดูสิคะ เช่น ทำหน้าเลิ่กลั่กตอนเล่าเรื่องที่ผิดพลาด หรือทำท่าทางประกอบตอนเราพยายามแก้สถานการณ์แบบฮาๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรื่องราวมีชีวิตชีวามากขึ้น และดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้เป็นอย่างดีค่ะ
สร้างสะพานเชื่อมใจด้วยเสียงหัวเราะจากเรื่องจริง
อารมณ์ขันที่ดีที่สุดมักจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานี่แหละค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปคิดมุกตลกที่ซับซ้อน หรือพยายามเป็นตลกคาเฟ่ การนำประสบการณ์ตรงมาเล่าด้วยมุมมองที่สนุกสนาน มันคือการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้ฟังได้แบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากเลยค่ะ จำได้เลยว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันต้องนำเสนอโปรเจกต์สำคัญ แต่จู่ๆ ไฟก็ดับพรึ่บกลางคันแทนที่จะตื่นตระหนก ฉันกลับพูดออกไปว่า “สงสัยงานนี้มันเจิดจ้าเกินไป จนไฟทนไม่ไหวต้องขอพักก่อน” แค่นั้นแหละค่ะ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาทันที บรรยากาศที่เคยตึงเครียดกลับผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งสำคัญคือเราต้องกล้าที่จะเปิดเผยด้านที่เป็นมนุษย์ของเราออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเปิ่น ความซุ่มซ่าม หรือความไม่สมบูรณ์แบบต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเป็น “เรา” และทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นคนจริงที่จับต้องได้
1. เล่าเรื่องราวที่ผู้ฟังคุ้นเคย
ลองสังเกตดูว่าผู้ฟังของเราเป็นใคร พวกเขามีความสนใจอะไร สิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยอาจจะเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางในกรุงเทพฯ ที่รถติด, การหาของกินอร่อยๆ, หรือแม้กระทั่งความเหนื่อยล้าจากการทำงาน การหยิบยกเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าในมุมตลก จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเข้าใจพวกเขา และสร้างความรู้สึกร่วมกันได้เป็นอย่างดี
2. ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
-
อย่ากลัวที่จะเล่าเรื่องความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง
-
การเล่าเรื่องที่ตัวเองเคย “โป๊ะ” หรือ “พลาด” จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นคนธรรมดาที่ผิดพลาดได้
-
สิ่งนี้ช่วยลดความรู้สึกห่างเหิน และทำให้เราดูเข้าถึงง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส: ใช้ความผิดพลาดเป็นมุกตลก
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องพูดสดๆ สถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพูดผิด ลืมคำ หรือแม้แต่เจอเหตุการณ์ขัดข้องทางเทคนิค แทนที่จะปล่อยให้ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้เราเสียศูนย์ ลองเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาสในการสร้างเสียงหัวเราะดูสิคะ!
ฉันเองเคยเจอเหตุการณ์ที่ไมค์ไม่ดังขณะกำลังจะเริ่มพูด ใจหายวาบเลยค่ะ แต่แทนที่จะตื่นตระหนก ฉันกลับยิ้มแล้วพูดว่า “อ๋อ…สงสัยไมค์อยากให้ฉันวอร์มอัพปอดก่อน เริ่มต้นด้วยเสียงอันทรงพลังแบบธรรมชาติเลยแล้วกัน” ผู้ฟังก็หัวเราะครืน เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่ทุกคนเข้าใจได้ การแสดงออกถึงความยืดหยุ่นและอารมณ์ขันในสถานการณ์คับขันนี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เราดูเป็นมืออาชีพและน่าประทับใจยิ่งกว่าเดิมอีกเยอะเลย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเราควบคุมสถานการณ์ได้ และมีความเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะปรับตัวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
1. ยอมรับความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว
เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น สิ่งสำคัญคือการยอมรับมันอย่างรวดเร็วและไม่ตื่นตระหนก การทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง แต่ถ้าเรากล้าที่จะพูดถึงมันตรงๆ และใส่ลูกเล่นลงไปนิดหน่อย จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจในความจริงใจและไหวพริบของเราค่ะ
2. เปลี่ยนมุมมองให้เป็นบวก
ทุกความผิดพลาดมีด้านตลกของมันเสมอ ลองมองหามุมนั้นดูค่ะ เช่น ถ้าพูดผิด ให้พูดติดตลกไปว่า “โอ๊ะ! สงสัยวันนี้สมองฉันทำงานสลับกันไปหน่อย ขอเริ่มใหม่นะคะ” หรือถ้าอุปกรณ์มีปัญหา ก็พูดทำนองว่า “เทคโนโลยีก็มีวันที่งอแงเป็นเหมือนกันนะคะ”
ศิลปะแห่งการสังเกต: หาช่องว่างสร้างอารมณ์ขัน
การสร้างอารมณ์ขันในการพูดสด ไม่ใช่แค่การคิดมุกไปล่วงหน้าเสมอไปค่ะ แต่บางครั้งมันคือศิลปะแห่งการสังเกตสิ่งรอบตัว และหยิบยกขึ้นมาเล่นอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด ลองมองไปรอบๆ ตัวผู้ฟัง สังเกตสภาพแวดล้อม หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการพูดของเรา แล้วนำมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่ หรือนำมาสร้างเป็นมุกตลกสั้นๆ ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะได้ในทันทีค่ะ อย่างเช่น หากมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมากลางคัน แทนที่จะขัดจังหวะ ก็อาจจะพูดติดตลกว่า “อู้หู!
ขนาดพูดดีขนาดนี้ ยังมีคนอยากโทรมาขอเคล็ดลับเลยนะคะเนี่ย” การทำแบบนี้ไม่ใช่แค่แสดงไหวพริบ แต่ยังแสดงให้เห็นว่าเราอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีความสามารถในการสร้างความผ่อนคลายได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกและจดจ่อกับการฟังเรามากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเราจะหยิบอะไรมาเล่นอีก
1. สังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง
-
คอยมองดูสีหน้า แววตา และการตอบสนองของผู้ฟังอยู่เสมอ
-
ถ้าเห็นว่ามีใครเริ่มง่วง หรือดูเบื่อๆ ลองสอดแทรกมุกตลกสั้นๆ เข้าไป เพื่อเรียกความสนใจกลับมา
-
มุกตลกที่ตอบสนองกับปฏิกิริยาของผู้ฟังจะดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงใจมากกว่า
2. ใช้สิ่งของหรือเหตุการณ์รอบตัวเป็นตัวช่วย
บางทีอาจจะเป็นสภาพอากาศวันนี้ เสียงที่ดังมาจากข้างนอก หรือแม้กระทั่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของมุกตลกได้ค่ะ การหยิบยกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามาเล่น จะทำให้มุกนั้นดูเป็นเรื่องจริงและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีกว่า
เมื่อมุกตลกไม่เวิร์ค: วิธีรับมืออย่างมืออาชีพ
ก็ไม่ใช่ว่าทุกมุกตลกที่เราปล่อยออกไปจะได้ผลเสมอไปหรอกนะคะ บางครั้งก็มีเงียบกริบ หรือไม่ได้รับเสียงหัวเราะอย่างที่หวังไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากค่ะ สิ่งสำคัญคือเราจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงมากกว่า ฉันเองก็เคยเจอประสบการณ์ที่เล่าเรื่องตลกออกไปแล้วไม่มีใครหัวเราะเลยสักคน แถมยังรู้สึกประหม่ากว่าเดิมด้วยซ้ำไปค่ะ แต่แทนที่จะปล่อยให้ความผิดหวังครอบงำ ฉันเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นไปเลย หรือไม่ก็พูดต่อว่า “อืม…สงสัยมุกนี้ยังไม่ตื่นเต็มที่เท่าฉัน” แล้วก็ยิ้มให้ตัวเองและผู้ฟังเบาๆ การแสดงออกถึงความไม่ถือตัวและยอมรับว่าบางครั้งมุกก็อาจจะไม่โดนใจใครทุกคน มันจะช่วยให้เราดูเป็นคนที่มีวุฒิภาวะและยังคงความน่าเชื่อถือเอาไว้ได้ค่ะ อย่าปล่อยให้ความเงียบเพียงครั้งเดียวมาบั่นทอนกำลังใจหรือความมั่นใจของเราไปได้นะคะ จำไว้ว่าทุกคนก็เคยพลาดกันทั้งนั้น
สถานการณ์ | สิ่งที่ควรทำ | สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง |
---|---|---|
มุกเงียบกริบ | พูดเปลี่ยนเรื่องทันที หรือแซวตัวเองเบาๆ | พยายามอธิบายมุก หรือแสดงความผิดหวังออกมา |
ผู้ฟังไม่เข้าใจมุก | ยิ้มรับและดำเนินเรื่องต่ออย่างเป็นธรรมชาติ | ถามว่า “ไม่ตลกเหรอ?” หรือพยายามเล่าซ้ำ |
มีคนขัดจังหวะ | ยิ้มรับและหันไปสนใจสิ่งที่พูดอยู่ต่อ | แสดงความไม่พอใจ หรือหยุดพูดกลางคัน |
1. ยิ้มรับและไปต่อ
สิ่งแรกที่ต้องทำคือยิ้มค่ะ ยิ้มรับสถานการณ์และเปลี่ยนประเด็นไปเลย ไม่จำเป็นต้องไปวนเวียนอยู่กับมุกที่ไม่ได้ผล การแสดงออกว่าเราไม่ยึดติดกับมัน จะช่วยให้บรรยากาศโดยรวมยังคงไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ
2. ใช้การแซวตัวเอง
ถ้าอยากให้มีลูกเล่นนิดหน่อย ลองแซวตัวเองเบาๆ เช่น “โอ๊ะ! สงสัยวันนี้ฉันจะตลกอยู่คนเดียว” หรือ “มุกนี้เก็บไว้ใช้ปีหน้าแล้วกัน” การแซวตัวเองจะช่วยลดความตึงเครียด และทำให้เราดูเป็นกันเองมากขึ้น
พลังแห่งความอ่อนน้อม: อารมณ์ขันที่เข้าถึงใจ
บางทีอารมณ์ขันที่ทรงพลังที่สุดไม่ได้มาจากมุกตลกที่ซับซ้อนอะไรเลยค่ะ แต่มันมาจากการที่เรากล้าที่จะแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเป็นมนุษย์ที่เข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง และยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในบางครั้ง การแสดงออกถึงความถ่อมตนด้วยอารมณ์ขัน ไม่ว่าจะเป็นการแซวตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีต หรือการยอมรับว่าเราก็ไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่อง มันจะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสร้างความผูกพันกับผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้งเลยค่ะ เพราะเมื่อเรายอมรับว่าเราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น และรู้สึกว่าเราเป็นคนจริงใจที่ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉันเชื่อว่าการแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนผ่านอารมณ์ขันนี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เราเป็นที่จดจำและเป็นที่รักของผู้ฟังได้อย่างแท้จริง
1. แซวตัวเองในเรื่องที่ไม่ทำให้เสียภาพลักษณ์
เลือกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นข้อบกพร่องของเรามาแซวตัวเอง เช่น “ปกติเป็นคนตื่นเช้ามากค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ลืมนาฬิกาปลุกไปเลย” หรือ “ฉันเองก็จำทางไม่ค่อยได้เหมือนกันนะ บางทีก็เดินหลงเองบ่อยๆ”
2. แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วยอารมณ์ขัน
หากเห็นว่าผู้ฟังกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเรา ลองหยิบยกเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าด้วยอารมณ์ขัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจและเห็นอกเห็นใจพวกเขาค่ะ เช่น “เข้าใจเลยค่ะว่าทุกคนคงอยากกลับไปนอนพักผ่อนกันแล้ว ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มหาวแล้วเหมือนกันค่ะ”
สรุปปิดท้าย
เป็นยังไงกันบ้างคะกับเคล็ดลับที่ฉันนำมาฝาก หวังว่าทุกคนคงจะเห็นแล้วว่าอารมณ์ขันไม่ใช่แค่เรื่องตลก แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยให้เราเอาชนะความประหม่า สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง และทำให้การสื่อสารของเราน่าจดจำยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะเปิดเผยด้านที่เป็นมนุษย์ของเราออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเปิ่น ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่ความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะสิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่จะทำให้เราเป็นที่รักและเข้าถึงใจผู้ฟังได้อย่างแท้จริง ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่าการพูดในที่สาธารณะนั้นสนุกและน่าตื่นเต้นกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ
ข้อมูลน่ารู้ที่เป็นประโยชน์
1. ฝึกหน้ากระจก: ลองฝึกพูดเรื่องตลกหรือเหตุการณ์ขำๆ ของตัวเองหน้ากระจก สังเกตสีหน้าและท่าทางเพื่อสร้างความคุ้นเคยและเพิ่มความมั่นใจ
2. บันทึกเสียง/วิดีโอ: อัดคลิปตัวเองขณะพูดแล้วนำกลับมาดู เพื่อประเมินว่าอารมณ์ขันของคุณเข้าถึงผู้ฟังได้ดีแค่ไหน และมีจุดไหนที่ควรปรับปรุงบ้าง
3. สังเกตนักพูดตลก: ลองดูคลิปหรือฟังพอดแคสต์ของนักพูดที่เก่งเรื่องการใช้มุกตลก แล้ววิเคราะห์ว่าพวกเขามีเทคนิคอะไรที่ทำให้คนหัวเราะได้ธรรมชาติ
4. เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ: หากยังไม่มั่นใจ ลองเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องตลกในวงเพื่อน หรือกลุ่มเล็กๆ ที่คุณคุ้นเคย เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนจะไปพูดในเวทีที่ใหญ่ขึ้น
5. อย่ากลัวความล้มเหลว: จำไว้ว่าไม่ใช่ทุกมุกตลกจะเวิร์คเสมอไป การล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ยิ้มรับมันและเดินหน้าต่อได้เลยค่ะ
สรุปประเด็นสำคัญ
การใช้อารมณ์ขันช่วยลดความประหม่าและสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้พูดและผู้ฟัง
เรื่องราวจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบเป็นมุกตลกที่ดีที่สุดที่สร้างความเชื่อมโยงได้
เปลี่ยนความผิดพลาดและสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันให้เป็นโอกาสในการสร้างเสียงหัวเราะ
ใช้ศิลปะแห่งการสังเกตสิ่งรอบตัวและปฏิกิริยาของผู้ฟังเพื่อสร้างอารมณ์ขันที่เป็นธรรมชาติ
เมื่อมุกตลกไม่เวิร์ค ให้ยิ้มรับ เปลี่ยนเรื่อง หรือแซวตัวเองอย่างเป็นมืออาชีพ
ความอ่อนน้อมถ่อมตนและการแซวตัวเองอย่างเหมาะสมช่วยสร้างความผูกพันกับผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 📖
ถาม: คนขี้อายอย่างฉันจะเริ่มใช้มุกตลกในที่สาธารณะได้ยังไงคะ? แค่คิดก็ประหม่าแล้ว!
ตอบ: เรื่องนี้บอกตรงๆ ว่าฉันเองก็เคยเป็นค่ะ! ตอนแรกๆ นี่ใจเต้นตึกตักเหมือนกลองยาวเลยนะ แค่คิดว่าจะต้องออกไปพูดหน้าคนเยอะๆ ก็เหงื่อแตกพลั่กๆ แล้ว ยิ่งให้ไปเล่นมุกอีกนี่แทบจะหัวใจวาย แต่พอได้ลองจริงๆ สิ่งที่ฉันค้นพบคือ เราไม่จำเป็นต้องเป็นตลกคาเฟ่ค่ะ!
เริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองนี่แหละ ที่มันจริงและทุกคนเข้าถึงได้ อย่างเช่น ‘เมื่อเช้าตื่นสาย แทบจะมาไม่ทัน คิดว่าใส่เสื้อกลับด้านแล้วซะอีก!’ หรือ ‘ลืมเอาปากกามา พอจะจดเลยต้องใช้ลิปสติกเขียนซะงั้น!’ อะไรแบบนี้ แค่เล่าเรื่องที่เราเจอมาแบบขำๆ ไม่ต้องพยายามทำให้คนหัวเราะก๊าก ขอแค่คนฟังอมยิ้มหรือรู้สึกว่า ‘เออ…มันก็เป็นไปได้เนอะ’ แค่นี้ก็ถือว่าเปิดประตูสู่การสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟังแล้วค่ะ เพราะมันทำให้คนรู้สึกว่าเราก็ ‘คนธรรมดา’ เหมือนกัน ไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ แค่เริ่มจากตรงนี้แหละค่ะ เดี๋ยวความกล้ามันจะตามมาเอง เชื่อฉันสิ!
ถาม: ถ้าเล่นมุกไปแล้วแป้ก หรือคนฟังไม่เก็ต จะทำยังไงดีคะ? กลัวโดนมองว่าไม่ตลก
ตอบ: โอ๊ย! เข้าใจเลยค่ะ ความรู้สึกนั้นน่ะ มันเหมือนโดนน้ำแข็งสาดใส่หน้าเลยใช่ไหมคะ? ใจมันวูบไปเลยตอนมุกแป้กน่ะ แต่จากที่ฉันเจอมานะ ถ้ามุกมันไม่ไป ก็อย่าไปจมกับมันนานค่ะ!
สิ่งที่ฉันทำคือ แค่ยิ้มขำๆ แล้วพูดว่า ‘โอเคค่ะ สงสัยมุกนี้ต้องเอาไปปรับปรุงใหม่ ขออภัยที่รบกวนการทำงานของสมองนะคะ’ หรือไม่ก็ ‘แหม…มุกนี้คงต้องรอวันจันทร์หน้าถึงจะฮา’ อะไรประมาณนี้แหละค่ะ คือทำให้ดูเหมือนเราก็รู้ตัวว่ามันไม่ตลกนั่นแหละ มันจะทำให้คนฟังรู้สึกเอ็นดูเราแทนที่จะรู้สึกอึดอัด และที่สำคัญคือต้องสังเกตคนฟังด้วยค่ะ ถ้าเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงๆ ก็ค่อยๆ ปรับลดโทนลง แล้วกลับเข้าเรื่องจริงจังต่อ มันไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลวเลยนะ บางทีการที่เราขำกับความแป้กของตัวเองได้ มันยิ่งทำให้คนชอบเรามากขึ้นด้วยซ้ำค่ะ!
ถาม: มุกตลกใช้ได้กับทุกสถานการณ์เลยเหรอคะ? แล้วถ้าเป็นเรื่องซีเรียสๆ จะใช้ยังไงไม่ให้ดูไม่เหมาะสม?
ตอบ: อันนี้สำคัญมากเลยค่ะ! บอกเลยว่าไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่เหมาะกับการเล่นมุกนะคะ ต้องอ่าน ‘Mood & Tone’ ของงานนั้นๆ ให้ดีเลยค่ะ ถ้าเป็นงานศพ หรืองานที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกสูญเสีย อันนี้ไม่ควรเลยเด็ดขาด!
แต่ถ้าเป็นงานที่เนื้อหาหนักๆ หรือต้องนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนมากๆ เช่น การนำเสนอเรื่องการเงิน หรือนโยบายบริษัท ที่คนฟังอาจจะเครียดและง่วงได้ง่ายๆ เนี่ยแหละค่ะ ที่มุกตลกจะช่วยได้เยอะเลย จากประสบการณ์ของฉันนะ การใช้มุกตลกในสถานการณ์ที่จริงจังเนี่ย มันไม่ใช่เพื่อทำให้เรื่องมันกลายเป็นตลกโปกฮานะคะ แต่มันคือการ ‘ผ่อนคลาย’ บรรยากาศ ให้คนฟังหายใจหายคอได้บ้าง ไม่ใช่เครียดอุดอู้ไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรากำลังพูดถึงเรื่องงบประมาณที่อาจจะดูตัวเลขเยอะๆ น่าเบื่อๆ เราอาจจะพูดว่า ‘ตัวเลขตรงนี้อาจจะเยอะหน่อยนะคะ ถ้าใครมองแล้วตาลาย ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเองก็เป็น!’ หรือ ‘เมื่อเช้านี้ฉันดื่มกาแฟไป 3 แก้วแล้วนะเนี่ย กว่าจะย่อยงบประมาณตรงนี้ได้ครบถ้วน’ อะไรแบบนี้ คือมันเป็นการสร้างความเชื่อมโยงเล็กๆ น้อยๆ ให้คนรู้สึกว่าเราก็เข้าใจความรู้สึกเขา ไม่ได้มาบีบให้ต้องเคร่งเครียดตลอดเวลา ที่สำคัญที่สุดคือ ‘ความเหมาะสม’ และ ‘ความอ่อนโยน’ ค่ะ อย่าให้มุกของเราไปกระทบกระเทือนความรู้สึกใคร หรือไปลดทอนความสำคัญของเรื่องที่เรากำลังพูด แค่แทรกไปเบาๆ เป็นระยะๆ พอให้คนฟังได้ยิ้มและผ่อนคลายก็พอแล้วค่ะ
📚 อ้างอิง
Wikipedia Encyclopedia
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과
구글 검색 결과